วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเมื้อง...การเมือง

  รอบสัปดาห์ที่ผ่านมาท่าที "คนเสื้อแดง" แม้ยังหลบใน ยังพูดไม่เต็มปากเต็มคำ แสดงความเห็นไม่เต็มที่ แต่ก็สามารถสร้างความสะพรึงกลัวให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง นั่นเพราะภาพเผาบ้านเผาเมืองยังตามหลอนผู้คนที่ยังหวั่นเกรงว่า ถ้า  "คนเสื้อแดง" ไม่พออกพอใจเรื่องอันใด มีความเป็นไปได้ที่จะมีม็อบลงถนนตามคำขู่
     นั่นเป็นความหวาดกลัว ท่ามกลางดัชนีความสุขของคนไทยพุ่งปรี๊ดเป็นประวัติศาสตร์
     ที่จริงแล้วน่าจะเป็นเรื่องดีที่แกนนำคนเสื้อแดง อาทิ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ"  ออกมายืนยันว่าจะยังไม่มีการชุมนุมกดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  กรณีที่ยังแขวน "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และว่าที่ ส.ส.แดงร่วม 20 คน เอาไว้ก่อน  เพราะต้องรอสอบเรื่องร้องเรียน 
     แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือ?
     หากดูในทางกลับกัน กกต.ไม่ได้แขวนเฉพาะ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" แต่แขวน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ด้วย และไม่พบว่าจะมีผู้ให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์คนไหนออกมาบอกว่า จะจัดชุมนุมใหญ่ จะไปกดดัน กกต.
     สำคัญไปกว่านั้น พรรคประชาธิปัตย์น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจมากกว่า เพราะ  "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นกรรมการบริหารพรรค แต่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในพรรคเพื่อไทยเลย
     นั่นหมายความว่าอย่างไร?
     ถ้า กกต.ชี้ว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ผิด พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบทันที  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 237 
 ขณะที่พรรคเพื่อไทยไม่ระคายผิว หาก กกต.ชี้ว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"  ผิด อย่างมากก็แค่เลื่อนลำดับปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นมา แล้วหาคนอื่นมาสวมเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทน
     อาจจะผิดแผนของ "ทักษิณ ชินวัตร" ไปบ้าง เพราะเขาต้องการคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดมาเป็นนายกฯ นอมินีคนที่ 3 แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับ "ตระกูลชินวัตร" ที่คนในตระกูลไม่ถูกสังเวยการเมืองต่อจาก "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"
     กกต.จะรับรอง หรือไม่รับรอง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับประเทศนี้ แต่สิ่งสำคัญคือ "เสื้อแดง" จะเอาอย่างไร 
     จะไม่พอใจถึงขั้นลุกขึ้นมาเผาเมืองอีกรอบหรือไม่?
     พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย ภาคเหนือ อีสาน ได้เก้าอี้ ส.ส.เป็นกอบเป็นกำ จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่ผลสำรวจดัชนีความสุขของประชาชนจะพุ่งเป็นประวัติการณ์ เพราะคนเสื้อแดงคือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศนี้
     แต่ "เสียงส่วนใหญ่" ควรให้อะไรกับประเทศบ้าง นอกจากการข่มขู่คุกคามทุกครั้งยามที่ไม่พออกพอใจ และมีความสุขอยู่กับคำว่าตัวเองเป็นเสียงส่วนใหญ่
 เมื่อครั้งพรรคเพื่อไทยไร้ซึ่งอำนาจ สังคมไทยได้รู้ซึ้งถึงพลังอันดุดัน ดุเดือด จนยากต่อการควบคุมกันเองของคนเสื้อแดงมาแล้ว และมาถึงวันนี้พรรคเพื่อไทยกำลังเข้าสู่อำนาจ หากคนเสื้อแดงไม่พอใจ อะไรจะเกิดขึ้น!
     ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การตีตนไปก่อนไข้ หรือวิจารณ์คนเสื้อแดงแบบเรื่อยเปื่อย
 แต่เป็นพฤติการณ์ที่พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดงบางคนสื่อออกมาให้เห็นว่าพร้อมที่จะใช้ "กำลัง" เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
 เชื่อว่าการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงจะเกิดขึ้นทันที หาก กกต.ประกาศไม่รับรองผลการเลือกตั้งของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และว่าที่ ส.ส.เสื้อแดงทั้งมวล
 และจะไม่มีคนเสื้อแดงคนไหนสนใจว่า ที่มาของการไม่รับรองให้เป็น ส.ส.  โดย กกต.นั้น มาจากสาเหตุอะไร
     นอกจากสิ่งที่คนเสื้อแดงท่องจนขึ้นใจมาแต่ไหนแต่ไร
     "อำมาตย์" แทรกแซง!
     จนถึงทุกวันนี้การจับโยงทุกสิ่งทุกอย่างโดยมี "อำมาตย์" เป็นศูนย์กลางนั้นยังคงดำเนินอยู่ 
     กรณีค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ที่สุดท้ายเริ่มย้อนกลับเข้าหาพรรคเพื่อไทยเอง กำลังจะทำให้พรรคเพื่อไทย โกหก หลอกลวงประชาชน 
     หาเสียงอย่าง พอได้เป็นรัฐบาลเป็นอีกอย่าง
     หากใครติดตามดูการปราศรัยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย โดย "ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร" จะเห็นได้ว่า เริ่มต้นด้วยการประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ วันละ 300 บาท สิ่งเหล่านี้ยังปรากฏในแผ่นป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศ
     แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา กลับกลายเป็นว่า ผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือ  "ทักษิณ ชินวัตร" ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนำร่องแค่ 2 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร กับภูเก็ต ซึ่งในความเป็นจริง ค่าแรงขั้นต่ำของ 2 จังหวัดนี้ ไม่ห่างจาก  300 บาทมากนัก
     ที่ไม่ยอมทำพร้อมกันทั่วประเทศเหมือนตอนที่รับปากขณะปราศรัยหาเสียง เป็นเพราะคนพวกนี้รู้ดีว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นมีมากมายมหาศาล
      นั่นเป็นที่มาว่า ทำไมสุดท้าย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ถึงออกมาพูดว่า นี่ไม่ใช่นโยบายเร่งด่วน
     แต่คนเสื้อแดงไม่ได้คิดเช่นนั้น
     พวกเขาเชื่อว่า "อำมาตย์" รวมหัวกับ "นายทุน" กดขี่ชนชั้นรากหญ้า กดค่าแรงไม่ให้คนจนโงหัว
 ไม่หันกลับไปดูว่า ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศนั้นทำได้จริงหรือไม่  กระทบเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างไร คนไทยตกงานสักเท่าไหร่ แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทยขนาดไหน คนเสื้อแดงสนใจรับฟังเหตุผลเหล่านี้หรือไม่
 นั่นเพราะความคับแคบทางความคิด ที่จับ "อำมาตย์" มาเป็นจุดศูนย์รวมของทุกปัญหา จนสังเคราะห์ไม่ออกว่ารากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาคืออะไร
 ก็อาจมี "คนเสื้อแดง" ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอี เริ่มรู้สึกแล้วว่า อย่างนี้ "มันไม่ใช่" แต่กลุ่มนี้จะมีอยู่สักกี่คน
 แน่นอนค่าแรง 300 บาทต่อวัน ควรจะเกิดขึ้นจริง แต่การเกิดไม่ใช่หักด้ามพร้าด้วยเข่า ต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้ทุกฝ่ายอยู่ได้ และร่ำรวยไปพร้อมๆ  กัน
 แต่น่าเสียดายวิธีนี้ไม่ใช่วิธีของพรรคเพื่อไทย
 ปัญหาเสื้อแดงจะเป็นปัญหาใหม่ และปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ซึ่งต้องแก้ไขกันในอนาคต
 คนเสื้อแดงอาจรู้สึกว่าการที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง คือชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย คือการได้ประชาธิปไตยมาไว้ในอ้อมกอด และสิ่งที่คนเสื้อแดงทำหลังจากนี้คือการรักษาไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตย รวมไปถึง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ต้องได้เป็น ส.ส. ถ้าไม่ได้แสดงว่าไม่เป็นประชาธิปไตย
 ส่วน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" จะได้เป็น ส.ส.หรือไม่ คนเสื้อแดงจะไปสนใจทำไม!
 นี่คือปัญหา ตราบเท่าที่คนเสื้อแดงคิดว่า ตนเท่านั้นเป็นผู้สร้างประชาธิปไตย หลังจากนี้จะนำไปสู่การรื้อ ล้าง อย่างขนานใหญ่
 พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงมองกติกาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแค่เครื่องมือของอำมาตย์ พวกเขาต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
 และดูเหมือนพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงต้องการสร้างกติกาขึ้นมาใหม่  อย่างแรกที่เริ่มพูดถึงกันแล้วคือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่อาจส่งผลให้ "ทักษิณ ชินวัตร" พ้นมลทิน ไปโดยปริยาย
 เรื่องที่ว่าอาจเกิดขึ้นได้ในเร็ววันนี้ ยกเว้นการจัดสรรอำนาจภายในพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงไม่ลงตัว
 หากกระถาง 3 ขา ขาใดขาหนึ่งหักไป อีก 2 ขาก็มิอาจรับน้ำหนักกระถางได้
 นี่คือการเมืองภายในของ "ระบอบทักษิณใหม่" 
 หาก "ทักษิณ ชินวัตร" ผิดพลาด จัดสรรอำนาจไม่ลงตัว แล้วปล่อยให้เกิดเนื้อเน่าใน
 ถึงวันนั้น มวยชนะ คนก็ไม่แพ้ แต่กองเชียร์จะเผาเวที.

อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน

                 โพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน หรือ พีเอเอช เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบด้วยวงเบนซีนตั้งแต่ 2 วงขึ้นไป จัดเรียงเป็นเส้นตรง เป็นมุม หรือเป็นกลุ่ม มีเฉพาะอะตอมของไฮโดรเจนและคาร์บอน ส่วนใหญ่ไม่ละลายน้ำ ค่าลอการิทึมของค่าคงที่การละลายในน้ำ - ออกทานอลระหว่าง 3 - 7 จุดเดือดระหว่าง 150 - 325 องศาเซลเซียส และจุดหลอมเหลวระหว่าง 101 - 438 องศาเซลเซียส ในสิ่งแวดล้อม มักเกาะกับอนุภาคฮิวมิคในดิน หรือสะสมในสิ่งมีชีวิต

                 ที่มา
PAHs สามารถเกิดได้เองตามธรรมชาติจากกระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของสารอินทรีย์ รวมทั้งควันจากท่อไอเสียรถยนต์และควันบุหรี่ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม การกลั่นน้ำมันดิบ อุตสาหกรรมไม้ซึ่งใช้สารเคลือบทาเนื้อไม้เพื่อป้องกันแมลงที่มี PAHs เป็นองค์ประกอบ เช่น creosort และ anthracene oil
PAHs พบได้ทั้งในน้ำ ดิน ดินตะกอน อากาศ น้ำใต้ดิน และบริเวณริมถนน ความเข้มข้นของ PAHs ในสิ่งแวดล้อมขึ้นกับระยะห่างระหว่างบริเวณที่ปนเปื้อนกับแหล่งที่ผลิต PAHs ระดับของการพัฒนาอุตสาหกรรมและความสามารถในการเคลื่อนย้ายของ PAHs สรุปแหล่งที่มาของ PAHs ได้ดังนี้
  • ไอเสียจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ PAHs ที่พบในอากาศมาจากควันจากท่อไอเสียรถยนต์แลเครื่องจักรกลเป็นส่วนใหญ่ ปริมาณ PAHs ที่รวมตัวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศบริเวณกรุงเทพมหานครเมื่อ พ.ศ. 2539 บริเวณเส้นทางจราจรพบ benzo[a]pyrene 2.04 ng/m3และ benzo[a]anthracene 1.13 ng/m3
  • การปนเปื้อนของน้ำมัน ปริมาณ PAHs ที่พบในดินและน้ำตะกอนบริเวณชายฝั่งทะเลมาจากการปนเปื้อนของน้ำมันที่ใช้ในเครื่องจักรกลในโรงงานอุตสาหกรรมและเรือต่างๆรวมทั้งน้ำมันเครื่องเก่าที่ผ่านการใช้แล้ว โดยพบปริใณสูงในระยะใกล้ฝั่งและน้อยลงตามลำดับเมื่อห่างฝั่งออกไป
  • กระบวนการแปรรูปและปรุงอาหาร การปรุงและการแปรรูปอาหารที่ทำให้เกิด PAHs ได้คือการอบขนม การเคี่ยวน้ำตาลเป็นคาราเมล การคั่วกาแฟซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาสีน้ำตาล หรือเกิดขึ้นระหว่างการหมักดอง เช่นผักดองกิมจิ ซีอิ๊ว นอกจากนั้น การปรุงอาหารโดยการอบ ปิ้ง ย่างที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เช่น ไส้กรอกรมควัน หมูปิ้ง ไกย่าง ที่ไหม้เกรียมทำให้มี PAHs ปนเปื้อนในอาหารได้

     ตัวอย่างสารประกอบ PAH

สารเคมีสารเคมี
AnthraceneAnthracene.svgBenzo[a]pyreneBenzo-a-pyrene.svg
ChryseneChrysene.svgCoroneneCoronene.svg
CorannuleneCorannulene.svgNaphthaceneNaftacene.svg
NaphthaleneNaphthalene.svgPentacenePentacene.svg
PhenanthrenePhenanthrene.svgPyrenePyrene.svg
TriphenyleneTriphenylene.svgOvaleneOvalene.svg

     การเปลี่ยนแปลงของ PAHs ในสิ่งแวดล้อม

เมื่อ PAHs เข้าสู่สิ่งแวดล้อม อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้
  • การย่อยสลายทางชีวภาพโดยสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆได้แก่
    • แบคทีเรีย ในสภาวะที่มีออกซิเจน แบคทีเรียจะย่อยสลาย PAHs เริ่มจากการออกซิไดส์ ให้เป็น dihydrodiol จากนั้นจึงแตกวงออกจนได้สารตัวกลางในวัฏจักรเครบส์ และนำไปใช้เป็นแหล่งคาร์บอนและพลังงานได้ในที่สุด
    • เชื้อราบางกลุ่ม เช่น white rot fungi ย่อยสลาย PAHs โดยใช้เอนไซม์สำหรับย่อยสลายลิกนิน เช่น lignin peroxidase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่รากลุ่มนี้ใช้ย่อยสลายเนื้อไม้ แต่เอนไซม์มีความจำเพาะต่ำจึงย่อยสลาย PAHs ที่มีโครงสร้างคล้ายลิกนินได้ด้วย 
  • การย่อยสลายโดยแสง PAHs ถูกออกซิไดส์ด้วยแสงได้
  • การแตกสลายด้วยน้ำ เกิดได้น้อยมาก
  • การรวมตัวกับดิน PAHs เป็นสารที่ไม่ชอบน้ำ ค่าคงที่การละลายในน้ำ - ออกทานอลสูง จึงยึดเกาะกับอนุภาคของดินหรือดินตะกอนได้ดี จึงพบการปนเปื้อนในบริเวณดังกล่าวได้สูง การกระจายในดินชั้นต่างๆขึ้นกับขนาดของโมเลกุลและชั้นดิน PAHs มที่มีวงเบนซีน 2-3 วง มีแนวโน้มจะพบมากในชั้นของทรายบริเวณน้ำใต้ดิน ส่วน PAHs ที่มีวงเบนซีน 5-6 วง มีแนวโน้มที่จะพบในชั้นของดินที่มีสารอินทรีย์มาก และ PAHs เหล่านี้มีแนวโน้มจะถูกย่ยอสลายโดยแบคทีเรียยากอีกด้วย 

     ความเป็นพิษ

โดยไป โพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอนเป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษเฉียบพลันต่ำ ในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะพบความเป็นพิษเรื้อรัง การได้รับแบบเรื้อรังอาจทำให้เกิดความเป็นพิษต่อระบบต่างๆของร่างกายได้ แต่อาการไม่รุรแรงนัก ความเป็นพิษที่สำคัญของ PAHs คือความสามารถในการก่อมะเร็งในอวัยวะหลายชนิด แต่ไม่มีผลต่อการพัฒนาของตัวอ่อนและพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต

    การเข้าสู่ร่างกาย

PAHs เข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี ทั้งโดยการกินอาหารที่ปนเปื้อน PAHs สูดดมไอระเหยหรือเขม่าควันไฟที่มี PAHs ผสมอยู่ หรือโดยการสัมผัสทางผิวหนัง มีรายงานว่า PAHs เข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดม โดยพบ เมตาบอไลต์ของเบนโซเอไพรีนในปัสสาวะของอาสาสมัครชายที่สูบบุหรี่ 15 -20 มวนต่อวัน เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยเมตาบอไลต์ในปัสสาวะของอาสาสมัครที่ยังมีสุขภาพดีมีค่าสูงกว่าในอาสาสมัครที่เป็นมะเร็งปอด และในอาสามัครที่กินเนื้อย่างที่ปนเปื้อนเบนโซเอไพรีนจะพบเบนโซเอไพรีนในอุจจาระ แต่จะไม่พบในอาสามัครที่กินเนื้อย่างที่ไม่ปนเปื้อน
การแพร่กระจายของ PAHs ในร่ากายของสัตว์ทดลองพบว่าเมื่อได้รับโดยการสูดดมและการกินจะแพร่ไปยัง ปอด ตับ ไต และทางเดินอาหาร หนูที่ได้รับเบนโซเอไพรีนโดยการหยอดเข้าหลอดคอ พบว่าเบนโซเอไพรีนจะกระจายไปยังปอด ตับ ทางเดินอาหารและซาก โดยเมตาบอไลต์ในลำไส้จะมากขึ้นเมื่อเวลานานขึ้นแสดงว่ามีการขับออกทางน้ำดีและมีการหมุนเวียนระหว่างลำไส้และตับ และสามารถแพร่ไปยังลูกอ่อนในครรภ์ได้ แต่ไม่มีรายงานเกี่ยวกับการแพร่กระจายหลังการสัมผัสทางผิวหนัง

 สารก่อกลายพันธุ์

เอนไซม์ของยูคาริโอท จะเปลี่ยนพีเอเอชให้เป็นอนุพันธ์อีปอกไซด์ซึ่งเข้าไปยึดเกาะกับดีเอ็นเอได้ เมื่อ PAHs เข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนรูปด้วยเอนไซม์ในกลุ่มไซโตโครม พี-450ที่มีการทำงานแบบออกซิเดส ซึ่งจะได้เมตาบอไลต์ต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของ PAHs เมตาบอไลต์บางชนิดเป็นพิษและเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น 3,4-diol-1,2, epoxide ซึ่งเป็นเมตาบอไลต์ของเบนโซเอแอนทราซีน และ 7,8,alpha-dihydroxy-9alpha,10alpha-7,8,9,10-tetrahydrobenzo[a]pyrene (BPDE) ซึ่งเป็นเมตาบอไลต์ของ เบนโซเอไพรีน
เมตาบอไลท์ที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น BPDE เหล่านี้มี epoxide อยู่ในส่วนที่เรียกว่า "Bay region" epoxide ที่ตำแหน่งนี้ สามารถเปลี่ยนเป็น carbonium ion มีประจุเป็นบวกและมีความไวสูงในการเข้าจับกับสารชีวโมเลกุลที่มีประจุเป็นลบได้
เมตาบอไลต์ดังกล่าวจะเข้าไปจับกับ DNA ที่ตำแหน่งต่างๆ การเข้าจับกับดีเอ็นเอดังกล่าว เมื่อดีเอ็นเอเกิดการจำลองตัวเอง การเติมเบสมาเข้าคู่กับสารที่ถูกจับจะผิดไป ทำให้เกิดมิวเตชันที่ลำดับเบส อย่างไรก็ตาม โอกาสของการเกิดมิวเตชั่นขึ้นกับความสามารถของเซลล์ในการซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ผิดปกติและระยะเวลาที่ได้รับสารก่อนการจำลองตัวเอง ถ้าเซลล์ซ่อมแซมได้ทัน การเกิดมิวเตชันจะลดลง เช่นการได้รับ BPDE ในระยะ S จะเกิดมิวเตชันมากว่าระยะ G1

   ความเป็นพิษแบบอื่น

  • รบกวนระบบต่อมไร้ท่อในปลา  และมีผลกระทบต่อสเตอรอยด์ฮอร์โมนในกลุ่มอาร์โทรพอดและมีผลต่อการลอกคราบของปู ครัสเตเชียนหลายชนิดที่สัมผัสกับน้ำมันดินมักมีการลอกคราบที่ผิดปกติ
  • รบกวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ 
  • แนฟทาลีน (พบในลูกเหม็น) สามารถเข้าไปจับกับโมเลกุลของตับ ไต ปอด ยับยั้งกระบวนการหายใจที่ไมโตคอนเดรีย เป็นพิษต่อระบบประสาท ระคายเคืองต่อผิวหนังและตา ก่อให้เกิดการแพ้แสง และเป็นสารก่อภูมิแพ้อย่างอ่อน นอกจากนั้นยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนระหว่างโครโมโซมคู่เหมือนมากขึ้น ยับยั้งการส่งสัญญาณผ่านช่องว่างระหว่างเซลล์ ลดระดับอิมมูโนโกลบลูลินเอและอิมมูโนโกลบลูลินจีในระบบภูมิคุ้มกัน
  • PAHs มีผลต่อโครงสร้างชุมชนจุลินทรีย์ในดิน โดยในดินที่มีการปนเปื้อนน้ำมันจะมีโครงสร้างจุลินทรีย์ต่างไปจากดินที่ไม่ปนเปื้อน โดยจะมีแบคทีเรียแกรมลบมากขึ้น พบ alpha-proteobacteria นอกจากนั้นจะมีปริมาณ alkane degrader และ PAH-degrader เพิ่มขึ้นด้วย 

 ความเป็นพิษต่อพืช

PAHs เป็นพิษต่อพืชโดยยับยั้งทั้งการเจริญเติบโต การสังเคราะห์ด้วยแสงและการดูดซึมแร่ธาตุเช่น การทำลายคลอโรฟิลล์ยับยั้งขนส่งอิเล็กตรอน ทำให้พืชเกิดสีเหลือง (Chlorosis) ขึ้น ทำให้พืชเหี่ยวเฉาโดยลดแรงดันเต่งภายในเซลล์พืช ซึ่งเกิดจากการรบกวนการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นพิษต่อการเจริญของต้นอ่อนมากกว่าการงอก ความเป็นพิษของ PAHs แต่ละชนิดนั้นจะต่างกันไป ขึ้นกับชนิดของพืช ความสามารถในการระเหย และสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่นความเป็นกรด-ด่างของดิน เป็นต้น

  ความเสี่ยง

อาชีพที่มีความเสี่ยงที่ต้องสัมผัสกับ PAHs ได้แก่ กระบวนการผลิตโครเมียม การถลุงแร่ที่มีนิกเกิล อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม การหลอมเหล็ก การผลิตถ่านหิน งานพิมพ์ที่สัมผัสกับหมึกพิมพ์ งานที่ต้องสัมผัสเขม่าน้ำมัน เช่น ช่างซ่อมถนน ช่างอู่รถ วัสดุในโรงงานที่มีไอระเหยของ PAHs ได้แก่ น้ำมันดิบจากถ่านหินหรือยางมะตอย น้ำมันแร่ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ เขม่าจากการเปผาไหม้ ควันไอเสีย ความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดอย่างชัดเจน ได้แก่ อาชีพผลิตถ่านหินและก๊าซถ่านหินซึ่งมีผลพลอยได้คือยางมะตอยใช้ทำถนน ส่วนอาชีพอื่นไม่ชัดเจน

alkyne

             แอลไคน์ (alkyne) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่ง ซึ่งในโมเลกุลจะมีพันธะสามระหว่างอะตอมของคาร์บอนหนึ่งที่หรือมากกว่าจัดเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดไม่อิ่มตัว มีสูตรทั่วไปคือ CnH2n-2 แอลไคน์ตัวแรกคือ C2H2 (หรือที่เรียกว่า ethyne)

 คุณสมบัติ

  • มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ
  • มีทุกสถานะ C1-C4 จะมีสถานะเป็นแก๊ส C5-C17 จะมีสถานะเป็นของเหลว C18 ขึ้นไป จะมีสถานะเป็นของแข็ง
  • จุดเดือด จุดหลอมเหลวต่ำ เมื่อเทียบกับสารอินทรีย์อื่น แต่จะสูงสุดในบรรดาไฮโครคาร์บอนด้วยกันเอง คือ แลคไคน์ > แอลแคน > แอลคีน เมื่อมีจำนวนคาร์บอนในโมเลกุลเท่ากัน เช่น C3H4 จะมีจุดเดือดสูงกว่า C3H8 และ C3H6
  • ไม่ละลายน้ำ เพราะเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว
  • เมื่อเกิดการเผาไหม้จะให้พลังงานและเขม่ามาก

alkene

แอลคีน (alkene) คือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีพันธะคู่อยู่ในโมเลกุล 1 พันธะ นอกนั้นเป็นพันธะเดี่ยว จัดเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดไม่อิ่มตัว ในทำนองเดียวกับแอลเคน แต่แอลคีนมีจำนวนไฮโดรเจนน้อยกว่าแอลเคนอยู่ 2 ตัว สูตรโมเลกุลทั่วไปของแอลคีนจึงเป็น CnH2n เมื่อ n คือจำนวนคาร์บอน
การเรียกชื่อ ในทำนองเดียวกับแอลเคนแต่เปลี่ยนเสียงท้ายเป็น "……น(-ene)" เช่น
  • C2H4 อ่านว่า "อีทีน" (ethene) หรือ "เอทิลีน" (ethylene)
  • C3H6 อ่านว่า "โพรพีน" (propene)